Google

Friday, August 22, 2025

ข้อแนะนำเกี่ยวกับการสอบเป็น นักการทูต กระทรวงการต่างประเทศ

  ข้อแนะนำเกี่ยวกับการสอบเป็น นักการทูต กระทรวงการต่างประเทศ

คำนำ
ข้อแนะนำนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นแนวทางและเครื่องมือสำคัญสำหรับผู้ที่เตรียมตัวสอบแข่งขันเพื่อบรรจุเป็นนักการทูตปฏิบัติการ กระทรวงการต่างประเทศ เนื่องจากภารกิจของนักการทูตมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการขับเคลื่อนนโยบายต่างประเทศของชาติ และเป็นอาชีพที่ต้องอาศัยความรู้ความสามารถรอบด้านทั้งในเรื่องของการเมือง เศรษฐกิจ สังคม กฎหมาย และภาษาต่างประเทศ
ด้วยเหตุนี้ ข้อแนะนำที่รวบรวมไว้ในหนังสือเล่มนี้จึงครอบคลุมทุกส่วนของการสอบ ทั้งในด้านความรู้ทั่วไป ความรู้เฉพาะด้านการทูตและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และทักษะด้านภาษาต่างประเทศ ผู้จัดทำได้ศึกษาแนวทางการออกข้อสอบในปีก่อนๆ อย่างละเอียด เพื่อให้มั่นใจว่าเนื้อหาจะสามารถช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจและคุ้นเคยกับรูปแบบคำถามที่อาจต้องเจอในการสอบจริง
ผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ข้อแนะนำ "เกี่ยวกับการสอบเป็น นักการทูต กระทรวงการต่างประเทศ" ชุดนี้นี้จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งแก่ผู้อ่านทุกท่าน และเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้ความฝันในการเป็นนักการทูตของคุณเป็นจริงได้ในที่สุด
===============
หมวดที่ 1: ความรู้ด้านการเมือง การปกครอง และเศรษฐกิจของไทยและต่างประเทศ
หัวข้อด้านล่างนี้เป็นหัวข้อที่มักจะถูกใช้ในการออกข้อสอบเพื่อวัดความรู้ทั่วไปด้านการเมือง การปกครอง และเศรษฐกิจของไทยและต่างประเทศ
-การเมืองและการปกครองของไทย
ประวัติศาสตร์การเมือง: เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์การเมืองตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475, การรัฐประหารที่สำคัญ และรัฐธรรมนูญฉบับต่างๆ
-โครงสร้างการปกครอง: ระบบการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข, อำนาจทั้ง 3 (นิติบัญญัติ, บริหาร, ตุลาการ) และบทบาทขององค์กรอิสระ
-นโยบายรัฐบาล: นโยบายสำคัญในปัจจุบัน เช่น นโยบายเศรษฐกิจ, สังคม และการต่างประเทศ
-การเมืองและการปกครองของต่างประเทศ
ระบบการเมืองหลักของโลก: ระบบประชาธิปไตย, สังคมนิยม, คอมมิวนิสต์ และเผด็จการ (ตัวอย่าง: สหรัฐอเมริกา, จีน, รัสเซีย)
-เหตุการณ์สำคัญของโลก: สงครามในยูเครน, ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง, สถานการณ์ในทะเลจีนใต้ และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมหาอำนาจ
-องค์การระหว่างประเทศ: บทบาทและหน้าที่ขององค์กรสำคัญ เช่น สหประชาชาติ (UN), สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN), และสหภาพยุโรป (EU)
-เศรษฐกิจของไทยและต่างประเทศ
นโยบายเศรษฐกิจของไทย: แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, นโยบายการเงินและการคลังของธนาคารแห่งประเทศไทยและกระทรวงการคลัง, และโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ
-เศรษฐกิจโลก: ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก เช่น ภาวะเงินเฟ้อ, อัตราดอกเบี้ย, ราคาน้ำมัน, และสงครามการค้า
-กลุ่มเศรษฐกิจสำคัญ: ความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ เช่น ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) และความตกลงการค้าเสรี (FTA)
-ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์: ทฤษฎีสำคัญที่นักการทูตควรรู้ เช่น เศรษฐศาสตร์จุลภาคและมหภาค และหลักการเศรษฐกิจพอเพียง
=====================
หมวดที่ 2: ความรู้ด้านสังคม วัฒนธรรม และเทคโนโลยี
-ความรู้ด้านสังคมและวัฒนธรรม
สังคมไทย: ลักษณะเฉพาะของสังคมไทย เช่น ระบบอุปถัมภ์, ความหลากหลายทางชาติพันธุ์และศาสนา รวมถึงความท้าทายทางสังคมที่สำคัญในปัจจุบัน เช่น ความเหลื่อมล้ำและปัญหาสังคมผู้สูงอายุ
-วัฒนธรรมโลก: ความหลากหลายทางวัฒนธรรมในภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลก และประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการทูตวัฒนธรรม (Cultural Diplomacy)
-สิทธิมนุษยชน: หลักการสากลและพันธกรณีด้านสิทธิมนุษยชนที่สำคัญ รวมถึงบทบาทขององค์กรระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง เช่น คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ
-ความรู้ด้านเทคโนโลยี
การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี: แนวโน้มและผลกระทบของเทคโนโลยีที่พลิกโฉมโลก เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI), เทคโนโลยีควอนตัม, และเทคโนโลยีชีวภาพ
-ภัยคุกคามทางไซเบอร์: ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับความมั่นคงทางไซเบอร์และแนวทางรับมือภัยคุกคามที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติและเศรษฐกิจ
-นวัตกรรมและการพัฒนาที่ยั่งยืน: บทบาทของเทคโนโลยีในการแก้ไขปัญหาระดับโลก เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs)
ส่วนที่ 2: ความรู้ด้านภาษาต่างประเทศ (Foreign Language)
หมวดที่ 1: ภาษาอังกฤษ
ความรู้ด้านภาษาอังกฤษ
ไวยากรณ์ (Grammar)
Tenses: ความเข้าใจและการใช้ Present, Past และ Future Tenses
Parts of Speech: การใช้คำนาม (Nouns), คำสรรพนาม (Pronouns), คำกริยา (Verbs), คำคุณศัพท์ (Adjectives) และคำกริยาวิเศษณ์ (Adverbs) อย่างถูกต้อง
โครงสร้างประโยค (Sentence Structure): ประโยคที่ซับซ้อน (Complex Sentences), ประโยคความรวม (Compound Sentences) และการใช้เครื่องหมายวรรคตอน (Punctuation)
Conditional Sentences: การใช้ประโยค If-Clause ในรูปแบบต่างๆ
Active and Passive Voice: ความสามารถในการเปลี่ยนประโยคจาก Active Voice เป็น Passive Voice และในทางกลับกัน
คำศัพท์ (Vocabulary)
คำศัพท์ทั่วไป: คำศัพท์ที่ใช้ในชีวิตประจำวันและในการสื่อสารทั่วไป
คำศัพท์เฉพาะทาง: คำศัพท์ด้านการเมือง เศรษฐกิจ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ กฎหมาย และการทูต
Idioms and Phrasal Verbs: สำนวนและวลีที่ใช้บ่อยในภาษาอังกฤษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทที่เป็นทางการ
การอ่าน (Reading Comprehension)
การจับใจความหลัก: ความสามารถในการอ่านบทความ สรุปประเด็นสำคัญ และเข้าใจวัตถุประสงค์ของผู้เขียน
การวิเคราะห์บทความ: การทำความเข้าใจเนื้อหาที่ซับซ้อน เช่น บทความจากวารสารวิชาการ รายงานข่าว หรือเอกสารทางการทูต
การอ่านเร็ว: การสแกน (Scanning) และการอ่านแบบกวาดสายตา (Skimming) เพื่อหาข้อมูลที่ต้องการอย่างรวดเร็ว
การเขียน (Writing)
การเขียนเรียงความ: การเขียนเรียงความเชิงวิเคราะห์และเชิงโต้แย้งที่มีโครงสร้างชัดเจน
การสรุปความ: การย่อความจากข้อความยาวๆ ให้สั้นกระชับแต่ได้ใจความครบถ้วน
การเขียนจดหมาย: การเขียนจดหมายทางการ (Formal Letters) และการเขียนอีเมลในบริบทต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม
หมวดที่ 2: ภาษาที่สาม (ถ้ามี)
ในหมวดนี้จะครอบคลุมภาษาที่สาม ซึ่งมักจะเน้นภาษาหลักที่ใช้ในการสื่อสารระหว่างประเทศ เช่น จีน, ฝรั่งเศส, ญี่ปุ่น, สเปน, เยอรมัน, หรือรัสเซีย
ภาษาที่สาม
ความรู้ด้านไวยากรณ์และคำศัพท์ (Grammar and Vocabulary)
ไวยากรณ์พื้นฐาน: ความเข้าใจโครงสร้างประโยคเบื้องต้น การผันคำกริยา และการใช้คำบุพบท
คำศัพท์ทั่วไป: คำศัพท์ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น การทักทาย, การแนะนำตัว, และการสนทนาเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัว
คำศัพท์เฉพาะทาง: คำศัพท์ด้านการเมือง เศรษฐกิจ และการทูตที่ใช้ในภาษานั้น ๆ
ทักษะการอ่าน (Reading Skills)
การอ่านเพื่อจับใจความ: ความสามารถในการอ่านบทความสั้น ๆ เช่น ข่าว, จดหมาย หรือรายงาน เพื่อสรุปใจความสำคัญได้
การทำความเข้าใจบริบท: การตีความความหมายจากบริบทของประโยคหรือย่อหน้า
การสอบภาษาที่สามมักจะมุ่งเน้นความสามารถในการสื่อสารในระดับพื้นฐานไปจนถึงระดับกลาง เพื่อประเมินความพร้อมในการเรียนรู้ภาษาเพิ่มเติมที่จำเป็นสำหรับการทำงานในอนาคต
=====================
หมวดที่ 3: ความรู้เฉพาะตำแหน่ง (Specialized Knowledge)
หมวดที่ 1: การทูตและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
-การทูตและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
หลักการและหน้าที่ทางการทูต
ความหมายของการทูต: ทำความเข้าใจว่าการทูตคืออะไร, บทบาทของนักการทูต, และทำไมการทูตจึงมีความสำคัญต่อรัฐ
-เครื่องมือทางการทูต: การเจรจา, การทำสนธิสัญญา, การประชุม, และการใช้การทูตสาธารณะ (Public Diplomacy)
-การทูตหลายฝ่าย (Multilateral Diplomacy): บทบาทของนักการทูตในองค์กรระหว่างประเทศ เช่น สหประชาชาติ (UN) และอาเซียน (ASEAN)
-ประวัติศาสตร์การทูตไทย
ยุคเริ่มต้น: ความสัมพันธ์ของสยามกับชาติตะวันตกในอดีต (เช่น สนธิสัญญาเบาว์ริง)
-ยุคสงครามโลก: บทบาทของไทยในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2
-ยุคปัจจุบัน: พัฒนาการของนโยบายการต่างประเทศของไทยตั้งแต่หลังสงครามเย็นจนถึงปัจจุบัน
-บทบาทของกระทรวงการต่างประเทศ
โครงสร้างและภารกิจ: โครงสร้างของกระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานในสังกัด เช่น กรมต่างๆ และสถานเอกอัครราชทูต
-บทบาทสำคัญ: การคุ้มครองผลประโยชน์ของคนไทยในต่างประเทศ, การส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีกับนานาชาติ, และการเป็นตัวแทนของประเทศไทยในเวทีโลก
-สนธิสัญญาและกฎหมายระหว่างประเทศที่สำคัญ
กฎหมายระหว่างประเทศ: หลักการพื้นฐานของกฎหมายระหว่างประเทศที่นักการทูตควรรู้ เช่น สิทธิอธิปไตยของรัฐ, การไม่แทรกแซงกิจการภายใน, และสนธิสัญญาเวียนนาว่าด้วยกฎหมายสนธิสัญญา
-สนธิสัญญาสำคัญ: ความรู้เกี่ยวกับสนธิสัญญาหลักที่เกี่ยวข้องกับการค้าระหว่างประเทศ (WTO), การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Paris Agreement) และความมั่นคง (Treaty on the Non-Proliferation of Nuclear Weapons)
แนวคิดใหม่: ความเข้าใจเกี่ยวกับประเด็นร่วมสมัยในกฎหมายระหว่างประเทศ เช่น อาชญากรรมข้ามชาติ, การก่อการร้าย, และความมั่นคงทางทะเล
=====================
หมวดที่ 2: สถานการณ์โลกและนโยบายต่างประเทศของไทย
สถานการณ์โลกและนโยบายต่างประเทศของไทย
นโยบายการต่างประเทศของไทย
-หลักการพื้นฐาน: ความเป็นกลาง, การรักษาผลประโยชน์แห่งชาติ, การสร้างความสัมพันธ์อันดีกับทุกประเทศ
-นโยบายในภูมิภาค: บทบาทของไทยในอาเซียน, ความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน และแนวทางการรับมือประเด็นความมั่นคงชายแดน
-นโยบายต่อมหาอำนาจ: การรักษาสมดุลความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐอเมริกา, จีน และมหาอำนาจอื่น ๆ
-สถานการณ์โลกในปัจจุบัน
ความขัดแย้งในภูมิภาคต่าง ๆ: สาเหตุและผลกระทบของสงครามในยูเครน, สถานการณ์ความไม่สงบในตะวันออกกลาง, และประเด็นความมั่นคงในทะเลจีนใต้
-ประเด็นข้ามชาติ: การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ, การก่อการร้าย, อาชญากรรมข้ามชาติ, การอพยพย้ายถิ่นฐาน และการแพร่ระบาดของโรค
-การแข่งขันทางเศรษฐกิจและการค้า: สงครามการค้า, การกีดกันทางการค้า และบทบาทขององค์กรเศรษฐกิจระหว่างประเทศ เช่น WTO และ APEC
-การทูตในยุคดิจิทัล
การทูตสาธารณะ (Public Diplomacy): การใช้สื่อสังคมออนไลน์และเครื่องมือดิจิทัลในการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศ
-ภัยคุกคามทางไซเบอร์: การทูตด้านความมั่นคงไซเบอร์และแนวทางการทำงานร่วมกับนานาชาติเพื่อรับมือภัยคุกคามที่เกิดขึ้นใหม่
=====================
สำหรับหนังสือที่จะเป็นนักการทูต ควรมีและควรอ่านเป็นอย่างยิ่ง ดูข้างล่างนี้ครับ
=====================
พจนานุกรม ศัพท์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (อังกฤษ-ไทย) เล่ม 1-4 #ebooks
พจนานุกรม ศัพท์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (อังกฤษ-ไทย) เล่ม 1
เริ่มต้นทำความเข้าใจโลกการทูตและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอย่างมืออาชีพ!
สำหรับนักศึกษา นักการทูต หรือผู้ที่สนใจเรื่องราวเกี่ยวกับโลกที่กว้างขึ้น พจนานุกรมฉบับนี้คือเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้คุณเข้าถึงคำศัพท์เฉพาะทางได้อย่างแม่นยำ
ภายในเล่ม 1 ประกอบด้วย 3 หมวดวิชาสำคัญที่ครอบคลุมประเด็นหลักของโลกการทูต ได้แก่:
ศัพท์หมวดกฎหมายระหว่างประเทศ: เข้าใจหลักเกณฑ์และข้อบังคับที่กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐต่างๆ
ศัพท์หมวดการควบคุมอาวุธและการลดกำลังรบ: เจาะลึกคำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงและสันติภาพของโลก
ศัพท์หมวดธรรมชาติและบทบาทของการทูต: เรียนรู้แก่นแท้และหน้าที่ของการทูตในโลกยุคใหม่
อย่ารอช้า! ดาวน์โหลดทันทีเพื่อสร้างความได้เปรียบในการเรียนรู้และทำงานของคุณให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น!
====================
อย่าปล่อยให้โลกแซงหน้า! พจนานุกรมเล่มนี้จะทำให้คุณเท่าทันโลกการเมืองระหว่างประเทศ!
คุณรู้หรือไม่ว่าทำไมมหาอำนาจถึงตัดสินใจแบบนั้น? ทำไมนโยบายของแต่ละประเทศถึงส่งผลกระทบต่อชีวิตเรา? คำตอบทั้งหมดอยู่ใน "พจนานุกรม ศัพท์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (อังกฤษ-ไทย) เล่ม 2"
พจนานุกรมฉบับนี้จะพาคุณไปเจาะลึก 3 หมวดวิชาสำคัญที่ทุกคนต้องรู้!
ศัพท์หมวดชาตินิยม จักรวรรดินิยมและลัทธิล่าอาณานิคม: ทำความเข้าใจรากเหง้าของความขัดแย้งและอุดมการณ์ที่ขับเคลื่อนโลกมาจนถึงปัจจุบัน
ศัพท์หมวดนโยบายต่างประเทศ: เรียนรู้ศัพท์สำคัญที่จะช่วยให้คุณวิเคราะห์และเข้าใจการตัดสินใจของรัฐบาลทั่วโลก
ศัพท์หมวดนโยบายต่างประเทศสหรัฐอเมริกา: เจาะลึกนโยบายของประเทศที่มีอิทธิพลมากที่สุดในโลก เพื่อที่คุณจะเข้าใจทิศทางของโลกในอนาคต
ใครที่อยากรู้เท่าทันโลกการเมืองต้องมีเล่มนี้! ไม่ว่าจะเป็นนักศึกษา นักวิเคราะห์ หรือแค่คนที่อยากเข้าใจข่าวสาร พจนานุกรมเล่มนี้จะช่วยให้คุณเชื่อมโยงจุดต่างๆ เข้าหากันได้อย่างชัดเจน
กดซื้อเลย! แล้วคุณจะมองโลกใบนี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป!
=====================
พจนานุกรม ศัพท์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (อังกฤษ-ไทย) เล่ม 3
พจนานุกรมเล่ม 3 ที่จะช่วยให้คุณเข้าใจโลกได้ลึกขึ้น!
สำหรับผู้ที่ทำงานด้านการต่างประเทศ นักศึกษา หรือผู้ที่สนใจเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ พจนานุกรมเล่มนี้จะช่วยให้คุณเข้าถึงคำศัพท์เฉพาะทางได้อย่างแม่นยำ ภายในเล่มประกอบด้วย 3 หมวดสำคัญ ที่จะทำให้คุณไม่ตกข่าวและเข้าใจสถานการณ์โลกปัจจุบันได้อย่างทันท่วงที:
ศัพท์หมวดภูมิศาสตร์และประชากร: เข้าใจคำศัพท์เกี่ยวกับพื้นที่และผู้คน เพื่อวิเคราะห์สถานการณ์โลกได้อย่างรอบด้าน
ศัพท์หมวดสงครามและนโยบายทางการทหาร: เจาะลึกคำศัพท์ที่ใช้ในบริบทความขัดแย้งและนโยบายด้านความมั่นคง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการทำความเข้าใจข่าวสารและเหตุการณ์ต่างๆ
ศัพท์หมวดองค์การระหว่างประเทศ: เรียนรู้คำศัพท์เกี่ยวกับองค์กรระดับโลก เพื่อเข้าใจบทบาทและอิทธิพลขององค์กรเหล่านั้นในเวทีโลก
ดาวน์โหลดตอนนี้! เพื่อเพิ่มความเข้าใจในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของคุณให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น
=======================
โลกกำลังเปลี่ยนไป! คุณพร้อมหรือยัง?
นี่คือโอกาสสุดท้ายของคุณที่จะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอย่างแท้จริง!
เล่มนี้คือบทสรุปที่สมบูรณ์แบบที่จะทำให้คุณเข้าใจเบื้องลึกเบื้องหลังของโลกใบนี้! "พจนานุกรม ศัพท์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (อังกฤษ-ไทย) เล่ม 4 (เล่มจบ)"
ในเล่มสุดท้ายนี้ คุณจะได้พบกับ 2 หมวดวิชาที่ทรงอิทธิพลที่สุดในยุคปัจจุบัน:
ศัพท์หมวดอุดมการณ์และการสื่อสาร: เข้าใจถึงพลังที่ขับเคลื่อนสังคมและการเมืองโลก และกลยุทธ์การสื่อสารที่สามารถเปลี่ยนความคิดของผู้คนได้
ศัพท์หมวดเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศ: ไขความลับของระบบเศรษฐกิจโลก การค้า การลงทุน และผลกระทบที่ส่งตรงถึงชีวิตประจำวันของเราทุกคน
อย่าปล่อยให้ความเข้าใจของคุณขาดหายไป! เล่มนี้จะช่วยเติมเต็มทุกช่องว่างที่เหลืออยู่ และทำให้คุณเป็นคนที่มีความรู้รอบด้านอย่างแท้จริง
ซื้อเลย! เพื่อปิดท้ายคอลเลกชันความรู้ของคุณให้สมบูรณ์แบบ!

Tuesday, October 6, 2009

Boundaries

เขตแดน,แนวพรมแดน

ขอบเขตจำกัดที่รัฐใช้อำนาจศาลเหนือดินแดน เขตแดนหรือแนวพรมแดนที่ใช้แบ่งเขตอำนาจศาลมิใช่จะเกี่ยวข้องเฉพาะส่วนที่เป็นพื้นผิวโลกเท่านั้น แต่ทว่าจะเกี่ยวข้องกับส่วนที่เป็นน้ำ(เรียกว่าน่านน้ำอาณาเขต) ส่วนที่เป็นอากาศ(เรียกว่าน่านฟ้า) และส่วนที่เป็นทรัพยากรใต้พื้นดิน เขตแดนหรือพรมแดนนี้อาจจะถูกกำหนดขึ้นโดยการเจรจา การอนุญาโตตุลาการ คำวินิจฉัยของศาล การออกเสียงประชามติ การจัดสรรให้โดยองค์การระหว่างประเทศ เช่น สหประชาชาติ เป็นต้น หรือเป็นการโอนให้โดยการซื้อหรือโดยสงคราม เขตแดนหรือแนวพรมแดนนี้มีอยู่หลายประเภทและมีการแบ่งตามเหตุผลต่างๆดังนี้ คือ (1) เขตแดนหรือแนวพรมแดนที่แบ่งแยกกันตามธรรมชาติ ตัวอย่างเช่น แม่น้ำ ภูเขา เป็นต้น (2) เขตแดนหรือพรมแดนที่แบ่งแยกตามวัฒนธรรม ตัวอย่างเช่น ความแตกต่างระหว่างชุมชนที่ใช้เป็นพื้นฐานแยกพรมแดนระหว่างอินเดีย(ซึ่งมีวัฒนธรรมแบบฮินดู) กับปากีสถาน(ซึ่งมีวัฒนธรรมแบบมุสลิม) (3) เขตแดนหรือพรมแดนที่พิจารณาในแง่ประวัติศาสตร์และการเมือง ตัวอย่างเช่น ในกรณีของหลายรัฐที่เกิดขึ้นใหม่ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ในทวีปแอฟริกา ซึ่งเขตแดนหรือพรมแดนของรัฐต่างๆเหล่านี้มีการจัดแบ่งกันโดยชาติมหาอำนาจเจ้าอาณานิคมจากทวีปยุโรป และ (4) เขตแดนหรือพรมแดนที่จัดตั้งขึ้นมาโดยพิจารณาในแง่ดุลยภาพทางทหาร ตัวอย่างเช่น พรมแดนระหว่างอิสราเอลกับหมู่ประเทศเพื่อนบ้าน หรือพรมแดนระหว่างเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้

ความสำคัญ เขตแดนหรือพรมแดนนี้เป็นสัญลักษณ์ของเอกราชและอำนาจของชาติ และเป็นที่มาของความตึงเครียดและความขัดแย้งระหว่างประเทศด้วย ตัวอย่างกรณีเขตแดนหรือแนวพรมแดนที่มีส่วนทำให้เกิดปัญหาในปัจจุบัน เช่น พรมแดนระหว่างเยอรมนีตะวันออกกับเยอรมนีตะวันตก((ก่อนรวมเป็นประเทศเดียว) พรมแดนระหว่างอิรักกับอิหร่าน พรมแดนระหว่างสหภาพโซเวียตกับจีน พรมแดนระหว่างจีนกับอินเดีย พรมแดนระหว่างอิสราเอลกับซีเรีย จอร์แดน และอียิปต์ พรมแดนระหว่างโซมาเลียกับเอธิโอเปียและคีนยา ความสำคัญของพรมแดนของชาติในแง่ของการป้องกันชาตินั้นจะแตกต่างกันไปตามระดับของเทคโนโลยีทางการทหารที่เกี่ยวข้อง พรมแดนที่มีลักษณะเป็นภูเขา เป็นแม่น้ำ หรือเป็นห้วยหนองคลองบึงต่างๆนั้น อาจจะพิจารณาว่ามีความสำคัญในกรณีที่เป็นสงครามในรูปแบบปกติ คือ จะมีความสำคัญไปช่วยจำกัดความรุนแรงเมื่อมีการปฏิบัติการทิ้งระเบิดทางอากาศได้ แต่จะไม่มีความสำคัญใดๆเลยหากเป็นการใช้ยิงด้วยขีปนาวุธนิวเคลียร์

Buffer State

รัฐกันชน

รัฐอ่อนแอตั้งอยู่ระหว่างหรือที่พรมแดนของรัฐที่เข้มแข็ง ทำหน้าที่รักษาผลประโยชน์ทางด้านความมั่นคงให้แก่รัฐที่เข้มแข็งนั้น รัฐกันชนต่างๆมักจะอยู่ได้โดยความอนุเคราะห์ของรัฐเพื่อนบ้านที่มีอำนาจมากกว่า ซึ่งต้องการจะให้เป็น”เขตกันกระทบ” ระหว่างรัฐที่มีอำนาจมากนั้นกับรัฐที่เป็นคู่แข่ง

ความสำคัญ รัฐกันกระทบต่างๆจะทำหน้าที่รักษาผลประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจและด้านการทหารของเพื่อนบ้านที่มีอำนาจมาก และจะทำหน้าที่ถ่วงดุลอำนาจทั้งในระดับภูมิภาคและในระดับใหญ่โดยวิธีช่วยลดโอกาสการเผชิญหน้าและการขัดแย้งโดยตรงระหว่างรัฐที่มีอำนาจมากกับรัฐคู่แข่งขันนั้น ดังจะเห็นได้ว่า เป็นเวลาช้านานแล้วที่อัฟกานิสถาน ทิเบต และเปอร์เซียได้ทำหน้าที่รักษาผลประโยชน์ของอังกฤษ โดยเป็นรัฐกันชนระหว่างอินเดีย(ของอังกฤษ) กับรัสเซีย และนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นต้นมา รัฐต่างๆในแถบยุโรปตอนกลาง มักได้ชื่อว่าเป็นเขตรัฐกันชนระหว่างยุโรปตะวันตกกับสหภาพโซเวียต หรือในทางกลับกันก็เป็นเช่นเดียวกัน

Demographic Cycle

วงจรทางประชากรศาสตร์

กระแสของการเปลี่ยนแปลงในการเกิดและการตาย ที่ส่งผลกระทบต่อขนาดและส่วนประกอบของสังคม ขณะที่สังคมเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี วงจรทางประชากรศาสตร์นี้จะดำเนินไปใน 3 ขั้นตอนดังนี้ (1) ขั้นตอนที่ดำเนินจากฐานก่อนที่จะพัฒนาเป็นสังคมแบบอุตสาหกรรม ซึ่งช่วงนี้จะมีเสถียรภาพทางด้านประชากรเมื่อเทียบกับขั้นตอนอื่น (2) ขั้นตอนหัวเลี้ยวหัวต่อ คือ ขั้นตอนที่ประชากรล้นประเทศ (2) ขั้นตอนสุดท้าย คือ ขั้นตอนที่อัตราการเติบโตของประชากรเชื่องช้าลง ประชากรมีเสถียรภาพ และในบางประเทศอาจจะถึงกับมีจำนวนประชากรลดลงด้วยซ้ำไป


ความสำคัญ ในทางประวัติศาสตร์นั้น ขั้นตอนต่างๆในวงจรทางประวัติศาสตร์นี้ จะมีความเชื่อมโยงกับระดับของการพัฒนาทางเศรษฐกิจด้วย จากประสบการณ์ของประเทศต่างๆที่การปฏิวัติทางด้านอุตสาหกรรมได้เริ่มขึ้นแล้วนั้น ได้แสดงออกมาให้เราเห็นว่า ถึงแม้ว่าการปฏิวัติทางด้านอุตสาหกรรมนี้จะเอื้อประโยชน์สามารถเกื้อหนุนประชากรได้จำนวนมากๆและทำให้คนเหล่านี้มีมาตรฐานการครองชีพสูงขึ้นได้ก็จริง แต่ทว่าเมื่อมีการปรับปรุงความกินดีอยู่ดีทางเศรษฐกิจขึ้นมาแล้วนี้ ในที่สุดจะส่งผลให้อัตราการเกิดของประชากรลดลงมา จากประสบการณ์นี้เองทำให้ประเทศต่างๆที่มีประชากรล้นประเทศต่างหันมาเน้นย้ำให้มีการพัฒนาทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ ให้มีการพัฒนาทางด้านอุตสาหกรรม จากการที่มีประชากรเพิ่มขึ้นมาเป็นจำนวนมากและเกิดการปฏิวัติความคาดหวังที่เพิ่มขึ้นมามากในขณะเดียวกันในสังคมต่างๆทั่วโลก จึงประกอบกันเป็นเรื่องสร้างความวิตกกังวลเพิ่มมากขึ้นแก่ประเทศที่พัฒนาทางด้านอุตสาหกรรม แก่องค์การในระดับภูมิภาค และแก่องค์การชำนัญพิเศษต่างๆของสหประชาชาติ จากการสังเกตเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีวงจรทางประวัติศาสตร์ทำงานอยู่ดังกล่าวมาแล้วนั้น จึงทำให้เจ้าหน้าที่องค์การต่างๆทั่วโลกสามารถพยากรณ์ผลที่จะตามมาจากแนวโน้มทางประชากรศาสตร์ในปัจจุบันนี้ได้ ส่วนการที่จะสามารถพัฒนานโยบายทั้งในระดับชาติและระดับนานาชาติ ให้สัมพันธ์กันระหว่างประชากรกับสภาพแวดล้อมได้สำเร็จหรือไม่นั้น ก็จะเป็นปัญหาสำคัญในระยะยาวที่โลกเผชิญอยู่ในปัจจุบันนี้

Demographic Cycle : Stage One

วงจรทางประชากรศาสตร์ : ขั้นตอนที่ 1

แบบขั้นตอนทางประชากรศาสตร์ช่วงก่อนที่จะมีการปฏิวัติทางด้านอุตสาหกรรม ซึ่งมักจะมีลักษณะพิเศษ คือ ทั้งอัตราการเกิดและอัตราการตายจะสูง ในขั้นตอนที่ 1 นี้อายุขัยเฉลี่ยของมนุษย์จะต่ำมาก(คือ ประมาณ 30 ปี) อัตราการตายของเด็กทารกจะสูงมากและการเพิ่มของประชากรมีลักษณะคงที่ไปเรื่อยๆ ลักษณะของประชากรในแบบก่อนจะมีการพัฒนาทางอุตสาหกรรมนี้ ก็คือสังคมตะวันตกในช่วงก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรมและสังคมดั้งเดิมของทวีปเอเชีย แอฟริกา และละตินอเมริกาในช่วงก่อนทศวรรษปี 1930

ความสำคัญ สังคมในขั้นตอนที่ 1 นี้จะมีลักษณะที่อัตราการเติบโตของประชากรอยู่ในระดับต่ำด้วยเหตุผลดังนี้ คือ มาตรฐานการครองชีพต่ำ เศรษฐกิจเป็นแบบเกษตรกรรมพอเพียง มาตรฐานทางโภชนาการยังไม่ดี ไม่มีการใช้ยารักษาโรคสมัยใหม่ และไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกทางสาธารณสุขที่ได้มาตรฐาน ส่วนระบบครอบครัวที่สังคมต้องการ คือ ระบบครอบครัวใหญ่มีลูกหลานมากๆเพราะต้องการแรงงานเด็กให้มาช่วยทำงานในครอบครัวบ้าง ให้เด็กมาช่วยเลี้ยงดูในเวลาที่มารดาบิดาแก่เฒ่าแล้วบ้าง นอกจากนี้แล้วที่ต้องการให้มีลูกเกิดมามากๆนั้นก็เพราะเด็กจำนวนหนึ่งจะเสียชีวิตก่อนเติบโตเป็นผู้ใหญ่เพราะโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียนจึงจำเป็นต้องต้องมีลูกไว้มากๆเป็นการเผื่อไว้นั่นเอง ในสังคมตามขั้นตอนที่ 1 นี้จะมีลักษณะอย่างอื่นๆอีก คือ คนจะแต่งงานกันเมื่อตอนที่อายุยังน้อยๆ สถานภาพของสตรีจะด้อยกว่าบุรุษ และคนอ่านออกเขียนได้มีเกณฑ์อยู่ในระดับต่ำมาก ในปัจจุบันสังคมตามขั้นตอนที่ 1 นี้ได้หมดสิ้นไปจากโลกนี้แล้ว และสังคมเหล่านี้ได้เคลื่อนไหวเข้าสู่ขั้นตอนทางประชาศาสตร์ขั้นตอนที่ 2 แล้ว ซึ่งเป็นผลมาจากความพยายามของชาติต่างๆเองบ้าง จากความพยายามในระดับนานาชาติบ้าง

Democratic Cycle : Stage Two

วงจรทางประวัติศาสตร์ : ขั้นตอนที่ 2

แบบของวงจรทางประชากรศาสตร์ที่มีลักษณะพิเศษ คือ ประชากรล้นประเทศ ในขั้นตอนที่ 2 นี้ อัตราการเกิดจะสูงแต่อัตราการตายจะลดลงมาก ซึ่งก็จะส่งผลให้การเจริญเติบโตของประชากรเป็นไปอย่างรวดเร็ว อธิบายความได้ว่า เมื่ออัตราการตายของคนในวัยทารกลดลงมากๆก็จะส่งผลให้มีคนในวัยหนุ่มสาวเพิ่มขึ้นมามาก เมื่อมีคนในวัยหนุ่มสาวมากเช่นนี้ก็จะส่งผลต่อไปให้มีการผลิตลูกขึ้นมามาก เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วอัตราเพิ่มของคนตามธรรมชาติก็จะสูงตามขึ้นไปด้วย แต่เนื่องจากว่าอายุขัยของคนมิได้เพิ่มขึ้นมาแต่อย่างใดจึงมีแนวโน้มว่าสังคมจะประกอบไปด้วยคนหนุ่มคนสาวแทบทั้งนั้น อย่างไรก็ตามเทคโนโลยีชนิดเดียวกันที่ได้ช่วยสร้างสังคมให้เป็นอุตสาหกรรมนั้น ก็จะเป็นตัวการไปทำให้ประชากรมีจำนวนเพิ่มขึ้นมา โดยจะไปทำให้อัตราการตายลดลงมาเรื่อยๆทั้งนี้เพราะได้มีการปรับปรุงด้านยารักษาโรคและด้านสุขอนามัยนั่นเอง

ความสำคัญ ขั้นที่ประชากรล้นประเทศ หรือขั้นตอนที่ 2 ของวงจรทางประชากรศาสตร์นี้ เมื่อผนวกเข้ากับการเกิดการปฏิวัติทางด้านการคาดหวังสูงขึ้นๆด้วยแล้วนี้ ก็ยิ่งประกอบกันเข้าเป็นปัญหาที่รุนแรงทั้งในระดับชาติและในระดับนานาชาติเลยทีเดียว ผู้คนในประเทศต่างๆเหล่านี้มิใช่ว่าจะมีเฉพาะคนที่เรียกร้องสิ่งดีๆให้แก่ชีวิตมากยิ่งกว่าแต่ก่อนเท่านั้น แต่ยังมีพวกที่ต้องการจะให้รีบเร่งปรับปรุงมาตรฐานการครองชีพที่ดีขึ้นซึ่งพวกนี้ก็มีมากกว่าแต่เดิมอีกเหมือนกัน เมื่อเส้นเคิร์ฟการคาดหวังของคนเหล่านี้ขึ้นสูงรวดเร็วกว่าเส้นเคิร์ฟของสิ่งที่พวกเขาได้รับการตอบสนอง ก็จึงได้เกิดช่องว่างระหว่างเส้นทั้งสองนี้ ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็น”ช่องว่างของความไม่สมหวัง”ก็น่าจะได้ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วการที่มีประชากรเพิ่มขึ้นมาพร้อมๆกับที่การคาดหวังของคนเหล่านี้ได้เพิ่มขึ้นมาในขณะเดียวกันนี้ ก็จะก่อให้เกิดสภาวะการตึงตัวระหว่างทรัพยากรที่มีอยู่กับสิ่งที่รัฐบาลจะต้องจัดหาให้ตามความเรียกร้อง ซึ่งรัฐบาลเหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วก็คือรัฐบาลของรัฐที่เกิดใหม่และยังขาดประสบการณ์นั่นเอง ปัญหาและความข้องขัดใจที่เป็นผลมาจากประเด็นนี้ก็คือ (1) เกิดความตึงเครียดความสับสนวุ่นวายภายในเพิ่มขึ้นและมีรัฐประหารบ่อยครั้งชึ้น (2) มีการปฏิบัติการระหว่างประเทศที่ขาดความรับผิดชอบเพิ่มมากขึ้นเพื่อเบี่ยงเบนมวลชน(เป็นการชั่วคราว) จากปัญหาภายในประเทศ และ(3) มีการบีบประเทศพัฒนาแล้วให้มาช่วยเหลือในแผนพัฒนาประเทศในปริมาณมากๆแต่ก็ทำด้วยความระมัดระวังเพื่อมิให้เป็นการไปกระตุ้นคนในประเทศให้ต่อต้านประเทศที่ให้ความช่วยเหลือเหล่านี้ในขณะเดียวกันนั้นด้วย ช่องว่างระหว่างประเทศที่พัฒนาแล้วกับประเทศกำลังพัฒนาก็จะขยายกว้างออกไปมากยิ่งขึ้น ซึ่งก็ส่งผลให้เกิดปัญหาระหว่างประเทศติดตามมา แต่ด้วยเหตุที่คนอยู่ในวัยทำงานมีจำนวนลดลงตั้งแต่แรกเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรทั้งหมด ดังนั้นคนที่จะทำงานเพื่อผลผลิตมาตรฐานการครองชีพให้สูงขึ้นได้นั้นก็จะต้องทำงานหนักกว่าพวกที่อยู่ในวงจรประชากรศาสตร์อีก 2 ขั้นตอนนั้น นอกจากนี้แล้วคนหนุ่มคนสาวที่หางานทำไม่ได้จะมีสัดส่วนสูงขึ้นมากในสังคมขั้นตอนที่ 2 นี้ ซึ่งก็จะเป็นตัวการไปเพิ่มระดับความตึงเครียดและแรงผลักดันให้เกิดการปฏิวัติขึ้นมาได้

Demographic Cycle : Stage Three

วงจรทางประชากรศาสตร์: ขั้นตอนที่ 3

ขั้นตอนที่ 3 ในแบบของวงจรทางประชากรศาสตร์จะมีลักษณะพิเศษ คือ อัตราการเพิ่มตามธรรมชาติของประชากรจะลดลง ซึ่งขั้นตอนนี้จะมีลักษณะตรงกันข้ามกับขั้นตอนที่ 2 ข้างต้น กล่าวคือ ตามขั้นตอนที่ 2 นั้นอัตราการเกิดจะยังคงสูงอยู่ต่อไปแต่อัตราการตายจะลดลงมาก ส่วนในขั้นตอนที่ 3 นี้อัตราการตายจะค่อยลดลงแต่อัตราการเกิดจะลดลงอย่างรวดเร็ว ผลก็คืออายุเฉลี่ยของประชากรจะเพิ่มขึ้นมามาก ส่วนการที่อัตราการเกิดลดลงนี้ก็เนื่องมาจากมีการเปลี่ยนแปลงในทัศนะและในสถาบันทางสังคมต่างๆทำให้การมีครอบครัวใหญ่ๆเป็นที่ต้องการน้อยลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เกี่ยวกับเหตุผลทางด้านเศรษฐกิจ ในขั้นตอนที่ 3 ของวงจรทางประชากรศาสตร์นี้มีความสัมพันธ์กับสังคมที่พัฒนาทางด้านอุตสาหกรรมแล้ว ตัวอย่างเช่น สังคมในสหภาพโซเวียต สังคมในสหรัฐอเมริกา สังคมในญี่ปุ่น และสังคมในยุโรป

ความสำคัญ ประเทศที่มีการพัฒนาทางด้านอุตสาหกรรมในขั้นตอนที่ 3 ของวงจรประชากรศาสตร์นี้จะมีลักษณะพิเศษ คือ มีมาตรฐานการครองชีพสูง ทั้งนี้เนื่องจากว่าจะต้องเสียค่าใช้จ่ายในเรื่องของความฟุ่มเฟือยต่างๆ ในด้านการศึกษา และในด้านการเลี้ยงดูบุตรเพิ่มสูงขึ้น นอกจากนี้แล้วงบประมาณแผ่นดินที่นำมาใช้ในโครงการรัฐสวัสดิการต่างๆก็จะถีบตัวสูงขึ้นมากด้วย ในประเทศต่างๆเหล่านี้ค่าใช้จ่ายที่จะต้องสิ้นเปลืองไปกับเด็กและเยาวชนที่ยังพึ่งตนเองไม่ได้นั้น อาจจะถือว่าเป็นการลงทุนในอนาคตได้ แต่ค่าใช้จ่ายที่ต้องสิ้นเปลืองไปกับกรณีของคนชรานั้นก็จะสูงขึ้นมามากและถือว่าเป็นหนี้สินทางสังคม นอกจากนี้แล้วประเทศต่างๆที่อยู่ในขั้นตอนที่ 3 นี้จะมีสังคมที่พวกคนในวัยทำงาน(มีอายุระหว่าง 15 –65 ปี) มีสัดส่วนมากกว่าในประเทศที่อยู่ใน 2 ขั้นตอนที่กล่าวมาแล้วข้างต้นนั้น ถึงแม้ผลิตภาพของแรงงานจะสูงก็จริงแต่เนื่องจากมีการพัฒนาทางเทคโนโลยีโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือการนำเอาเครื่องจักรกลมาใช้ ก็จะทำให้การว่างงานมีอัตราสูงมาก เมื่อมีคนตกงานมากก็จะเกิดความเครียดและความวุ่นวายในสังคมตามมา ซึ่งก็จะเป็นตัวการไปทำลายขีดความสามารถทางด้านสร้างสรรค์ของผู้นำทางสังคมและของผู้นำภาครัฐบาล และจากการที่อัตราการเกิดมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องนี้ ก็จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสัมพันธภาพทางอำนาจ กล่าวคือ เมื่อประเทศอุตสาหกรรมเหล่านี้ต้องมาพบกับปัญหาจำนวนประชากรของตนลดลงแต่ในขณะเดียวกันประชากรของประเทศทั้งหลายเกือบจะทั่วโลกมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นนี้แล้ว ก็จะทำให้ไม่สามารถแข่งขันแย่งชิงส่วนแบ่งในทรัพยากรโลกให้ได้มามากๆเหมือนชาติอื่นๆได้